Friday, March 24, 2017

หนอนนั้น...สำคัญไฉน



หนอนนั้น...สำคัญไฉน


        คำว่า หนอน มีหลายนัยยะ ที่พวกเรามักจะคุ้นเคยกันก็คือ คำว่า “หนอนหนังสือ” ซึ่งหมายถึง คนที่ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ


        ส่วนอีกนัยยะหนึ่ง ที่มักจะถูกมองเป็นเชิงลบ คือ “หนอน ในความหมายว่า ผู้เป็นไส้ศึก หรือฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาอยู่ในฝ่ายเรา”

        ที่ปรารภเหตุเรื่องนี้เนื่องจากผู้เขียนมักจะถูกถามเสมอว่า ทราบไหมว่าใครเป็นหนอน?

        บางท่านถึงกับระบุเลยทีเดียวว่า คนนั้นคนนี้เป็นหนอน

        ถามว่า ในทัศนะของผู้เขียนคิดเรื่องนี้อย่างไร?

        ก็ขอตอบตามความสัตย์ว่า ไม่เคยเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลย ถามว่าทำไม ก็ตอบว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมาคิดเรื่องนี้


        ถามต่อไปอีกว่า หากคิดหรือกังวลกับเรื่องนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็ตอบได้อีกนั่นแหละว่า

        1. เราจะกลายเป็นนักจับผิด เพราะต้องคอยจับจ้องมองว่า คนนั้นเป็นไง คนนี้เป็นไง จะเห็นพฤติกรรมของใคร ๆ ก็น่าสงสัยไปหมด แล้วก็จะส่งผลให้ใจไม่ใส นั่งธรรมะก็ไม่ได้ดี

        2. จะเกิดความระแวงกัน ไม่ไว้ใจกันในหมู่คณะ ซึ่งจะทำให้เข้าทางผู้ไม่ปรารถนาดี

        จะเห็นได้ว่า แค่เหตุผล 2 ข้อนี้ การมองใครเป็นหนอนก็ไม่สนุกแล้ว



        ถามต่อไปว่า แล้วเราควรจะทำอย่างไร ก็ตอบได้ว่า

        1. ให้มั่นใจว่า สิ่งที่หมู่คณะเราทำอยู่ คือ การรักษาพระพุทธศาสนา เรามาร่วมกันสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องไปกลัวว่าใครจะมาจับผิดเรา

        2. ตั้งใจสร้างความดีของเราให้มากยิ่งขึ้น เพราะความดีเท่านั้นที่จะเป็นสิ่งที่ชนะทุกสิ่งทุกอย่าง

        3. ให้มีจิตเมตตา มองทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองที่มาปฏิบัติหน้าที่ ให้มองเขาเสมือนญาติ ที่มาเยี่ยมเยียนเรา ให้เอาความดีชนะใจเขาให้ได้

        4. ยึดมั่นและหมั่นทบทวนคำสอนของครูบาอาจารย์อย่างสม่ำเสมอ

        หากเราทำได้อย่างนี้ “หนอน” ก็จะกลายเป็นผีเสื้อที่โบยบิน ให้ความสวยงามกับโลกได้ และจะกลายเป็นเพื่อนของเราในที่สุด








อนาคาริก
03/25/17

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ...ปัจจุบันที่ลืมอดีต



      สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ...ปัจจุบันที่ลืมอดีต


        ด้วยความตระหนักว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ จึงต้องยอมรับความจริงว่า ในอดีตที่คนไทยมีความเป็นปึกแผ่น มีความรัก ความสามัคคีก็เพราะอาศัยหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และใช้ในการพัฒนาสังคมประเทศชาติสืบมา

 

        เดิมนั้นการบริหารกิจการพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ตามพุทธบัญญัติ แต่ต่อมาด้วยเหตุว่า ทางศาสนจักรกับอาณาจักรต้องมีการประสานงานกัน จึงทำให้เกิดพัฒนาการในการที่ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยดีงาม


        เดิมนั้นไม่ได้แยกการศึกษาออกจากวัด จึงมีกระทรวงธรรมการ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นกระทรวงศึกษาธิการ ค่อย ๆ พัฒนากลายมาเป็นกรมการศาสนา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 จึงแยกการบริหารกรมการศาสนาออกเป็น 2 ส่วน คือ กรมการศาสนา สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี



        หน้าที่หลัก ๆ ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น คือ ภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินงานสนองงานคณะสงฆ์และรัฐโดยการทำนุบำรุง ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ให้การอุปถัมภ์ คุ้มครองและส่งเสริมพัฒนางานพระพุทธศาสนา ดูแล รักษา จัดการศาสนสมบัติ



        ในอดีตที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเหตุอะไรที่จะเป็นการก้าวล่วงคณะสงฆ์ เนื่องจากผู้นำในสำนักพุทธฯ ล้วนเคยเป็นศิษย์วัดมาก่อน มีความเข้าใจในการทำงานร่วมกับคณะสงฆ์เป็นอย่างดี 

        จนกระทั่ง ณ วันนี้ มีการเปลี่ยนผู้ดูแล ซึ่งมาจากหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่ลูกหม้อของหน่วยงานนี้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

        เพียงเริ่มต้นทำงานก็ทำให้เห็นแล้วว่า ขาดความแม่นยำในการใช้กฎหมาย จนต้องไปรับคำแนะนำจากผู้ที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย ใช้แรงกดดันพระมหาเถระ เพื่อให้บรรลุผลตามที่ตนต้องการ

        ก็คงจะต้องจับตาดูว่าทิศทางในการทำงานจะเป็นอย่างไรต่อไป จากที่ในอดีตคือ "ลูกศิษย์พระ" วันนี้จะกลายเป็น "นายของพระ" ไปแล้วหรืออย่างไร? 

ห้ามกระพริบตานะครับ




อนาคาริก
03/24/17










Thursday, March 23, 2017

ทำไมต้องเป็นกฎ 24



ทำไมต้องเป็นกฎ 24


        ผู้เขียนมีความสงสัยในเบื้องต้นว่า ทำไมผ.อ.สำนักพุทธฯจึงยื่นหนังสือให้มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายองค์ใหม่ทั้งที่ปัจจุบันก็มีรักษาการแทนเจ้าอาวาสซึ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตามขั้นตอนตามกฎ 19 ว่าด้วยการแต่งตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาสอยู่แล้ว

        ก็คงต้องมาดูประเด็นแรกกันก่อนว่า สำนักพุทธฯมีอำนาจหน้าที่ในการยื่นหนังสือหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า หากดูตามอำนาจหน้าที่แล้ว คงจะอ้างว่าทำได้ดังนี้
ฯลฯ

        (2) รับสนองงาน ประสานงาน และถวายการสนับสนุนกิจการและการบริหารการปกครองคณะสงฆ์
        (3) เสนอแนวทางการกำหนดนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา

ฯลฯ

        ทั้งนี้โดยหน้าที่ก็เพียงแค่นำเสนอได้ ส่วนจะทำหรือไม่เป็นอำนาจของมหาเถรสมาคมหรือของสงฆ์ที่จะพิจารณา


        ประเด็นที่ 2 ทำไมต้องเสนอใช้ กฎ 24 ซึ่งว่าด้วยเรื่องการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ อย่างที่กล่าวไว้เบื้องต้นว่า ในเมื่อมีรักษาการแทนเจ้าอาวาสอยู่แล้วจะเสนอให้แต่งตั้งเจ้าอาวาสขึ้นมาอีกทำไม

        หากพิจารณาตามที่มีคลิปถูกปล่อยออกมาจะเห็นได้ว่า มีข้ออ้างว่า

        1. รักษาการแทนเจ้าอาวาสถูกดำเนินคดีจึงต้องมีการถอดถอน

         ประเด็นนี้ก็คงต้องบอกว่าขณะนี้รักษาการแทนเจ้าอาวาส เป็นเพียงผู้ต้องหา ซึ่งถูกกล่าวหา ยังไม่มีกระบวนการทางศาล และศาลยังไม่ได้พิจารณาว่ามีความผิดแต่อย่างใด หากเพียงแค่การถูกกล่าวหาแล้วจะถือว่าต้องคดี ก็คงจะมีการกลั่นแกล้งกันทั่วบ้านทั่วเมืองแน่(เหมือนกรณีของสมเด็จวัดปากน้ำ)

        2. การให้รักษาการแทนเจ้าอาวาสเป็นพระวัดพระธรรมกายจะทำให้กระบวนการพิจารณาทางสงฆ์ดำเนินต่อไปไม่ได้

        ประเด็นนี้ก็แสดงให้เห็นเจตนาอย่างชัดแจ้งว่า อย่างไรก็ไม่ยอมให้เจ้าอาวาสมาจากพระวัดพระธรรมกายแน่ ก็ต้องถามว่าเจตนาแท้จริงของผ.อ.สำนักพุทธฯ ต้องการอะไรกันแน่

         สิ่งที่น่าแปลกอีกประการคือ ท่านผ.อ.ได้ยืนยันว่า ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับพระพุทธอิสระ แต่ปรากฏว่า เรื่องราวต่าง ๆ ช่างสอดคล้องกับสิ่งที่ปรากฏในคลิปนั้นเหลือเกินแทบจะเรียกได้ว่ากอปปี้ออกมาเลย

        ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร เพราะผู้เขียนก็ไม่กล้าฟันธง เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์หรือหลักกฎหมายอะไรก็ล้วนแล้วแต่พ่ายแพ้ต่อหลักกู








อนาคาริก
03/23/17

Wednesday, March 22, 2017

ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด



ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด


        คนโบราณมักจะมีคำสอนที่คมคาย จนกลายมาเป็นสุภาษิต คำพังเพยหรือบทกลอนสอนใจ ทำให้เกิดความสวยงามหรือความสละสลวยของภาษา

        ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ถ้านึกเป็นภาพก็ดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไรนัก มันก็ของแน่อยู่แล้ว เพราะช้างตัวโตซะขนาดนั้น จะเอาใบบัวนิดเดียวไปปิดได้อย่างไร


        ในสถานการณ์ปัจจุบันหากใครได้ติดตามเรื่องราวของวัดพระธรรมกาย คงจะเห็นถึงสิ่งที่มีความไม่ชอบมาพากลอยู่

        - ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ก็เริ่มยัดเยียดให้เป็นคอมมิวนิสต์

        - วันร้ายคืนร้ายก็ว่าบิดเบือนคำสอนในพระไตรปิฎก(พอให้ชี้ว่าตรงไหนก็เงียบ)

        - เจ้าอาวาสนั่งรับประเคน ก็หาว่ารับของโจร ฟอกเงิน

ฯลฯ



        สารพัดเรื่องประดังเข้ามาจนนำไปสู่การใช้ ม. 44 ควบคุมพื้นที่ แล้วก็เข้ามาตรวจค้นทุกซอกทุกมุม พอไม่พบผู้กระทำความผิดหรือของผิดกฎหมายตามที่มีในบันทึกการตรวจค้น เรื่องก็น่าจะจบโดยต่างก็แยกย้ายกันไป ยกเลิกการควบคุมพื้นที่


 

        จู่ ๆ ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ไปค้นเจออาวุธที่บ้านของใครก็ไม่รู้ แล้วก็หาเหตุโยงเข้าหาวัดว่าเกี่ยวข้องกัน สร้างเรื่องราวว่านั่นคือ อาวุธที่ขนออกจากวัด

        แม่เจ้า ทหารตำรวจล้อมวัดอยู่กว่า 4,000 นาย กล้วยสักหวียังถูกค้นไม่ให้เอาเข้า หากสามารถเอาอาวุธขนาดนั้นออกไปจากวัดได้ นี่เท่ากับผู้สร้างเรื่องดูถูกความสามารถของทหารตำรวจไทยเป็นอย่างมากเลยนะครับ



        เมื่อประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วสิ่งที่ผุดขึ้นมาให้เห็นมีทั้งในวัด คือ

        1.การไม่ยกเลิก ม.44

        2.การพยายามดำเนินการทางสงฆ์ให้มีการเปลี่ยนเจ้าอาวาสเพื่อจะเข้ามาบริหารจัดการเอง โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์สิน


        และเรื่องที่ผุดภายนอก เช่น การขึ้นภาษีต่าง ๆ ทั้งภาษีที่ดิน ทั้งภาษีสรรพสามิต เป็นต้น

        ทำให้เกิดกระแสแว่ว ๆ ลอยลมมาว่า เอาเข้าจริง ๆ เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ แท้จริงแล้ว คือ วิธีการที่ใครบางคนกำลังแก้ปัญหาง่าย ๆ จากการหาเงินไม่เป็น เลยจะหาทางมายึดเงินวัดกระมัง


         เอ ที่เขียนมาทั้งหมดนี่ จะถือเป็นตัวอย่างของคำพังเพยว่า ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ได้ไหมครับ?





อนาคาริก
03/22/17

Tuesday, March 21, 2017

จริงหรือหลอก...บอกกันสักนิด



จริงหรือหลอก...บอกกันสักนิด


        วันนี้มีผู้ส่งคลิปมาให้ผู้เขียนพร้อมกับคำถามว่า เชื่อหรือไม่กับบทสนทนานั้น?

        ก่อนที่จะตอบ ก็ขอให้พวกเราช่วยกันดู ช่วยกันพิจารณาก่อน ตั้งใจฟังกันให้ดีนะ



                                          


        ในทัศนะของผู้เขียน ขอกล่าวในเบื้องต้นว่า

       1.ลักษณะการสนทนา เป็นการรายงานการทำงาน พร้อมกับรับนโยบายไปทำงานต่อ

        2.การอ้างกฎหมายของพระอาจารย์ที่บอกคนในคลิปไปนั้นไม่ถูกต้อง เป็นการอ้างกฎหมายบางส่วน ไม่ได้กล่าวถึงองค์ประกอบทั้งหมด ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เช่น การแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสนั้น ก็เป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 19 (พ.ศ.2536) อย่างถูกต้อง และอย่าลืมว่า เจ้าคณะจังหวัดท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องกฎระเบียบของสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง




        คราวนี้มาเข้าประเด็นของคำถามว่า ผู้เขียนเชื่อหรือไม่ว่าเป็นการสนทนาของพระพุทธอิสระกับผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คือ นายพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์

        ผู้เขียนขอตอบว่า ไม่ปักใจเชื่อ เหตุผลคือ

        1.ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของพระพุทธอิสระจึงไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่จะต้องรายงานการทำงาน และต้องรับนโยบายจากท่าน

        2.ผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ ย้ายมาจากหน่วยงานดีเอสไอ ซึ่งมีสโลแกนว่า เกียรติศักดิ์ เชี่ยวชาญ ซื่อสัตย์ ก็น่าจะเป็นผู้ที่รักเกียรติ รักศักดิ์ศรี ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้ไม่เกี่ยวข้อง

        3.ใครก็ตามที่มาเป็นผู้อำนวยการสำนักพุทธฯจะต้องมีความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา กฎหมาย กฎระเบียบของสงฆ์เป็นอย่างดี

        ด้วยเหตุผลดังกล่าวมา ผู้เขียนจึงไม่เชื่อว่านี่เสียงของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่เพื่อให้สังคมไม่เกิดความคลางแคลงใจ ผู้เขียนใคร่ขอเสนอให้ ท่านผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ ได้ออกมาชี้แจงหรือแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ พร้อมกับเอาผิดกับบุคคลในคลิปที่ทำให้ท่านเกิดความเสื่อมเสีย เป็นที่ครหาของสังคมต่อไป



         หมายเหตุ ล่าสุดผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ออกมาให้ข่าวยอมรับตามลิงค์ 

https://www.dailynews.co.th/education/563259

        ทำเอาผู้เขียนมึนตึบเลยครับ ว่าเป็นไปได้ยังไง แล้ววัดพระธรรมกายจะได้รับความเป็นธรรมตามที่ควรจะเป็นหรือไม่?





อนาคาริก

03/21/17


Monday, March 20, 2017

อกเขาอกเรา



อกเขาอกเรา


        บ้านเรามีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อผู้เขียนยังเล็ก ถนนหนทางมีรถวิ่งไม่กี่คัน ตกเย็นมามีถนนไม่กี่สายที่เปิดไฟ 

        แม้สภาพแวดล้อมรอบตัวจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ "นิสัย" ของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเรา ที่มักจะใช้อำนาจที่มีอยู่ฟาดฟันผู้ที่ตนเองคิดว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม

        เดิมนั้นก็จำกัดวงอยู่แค่ใน “คน” ด้วยกัน หนักเข้าก็ลามมาดึงเอาวัดเอาพระเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ผิดไม่ผิดไม่รู้ แต่กล่าวหาหรือป้ายสีไปก่อนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น


        กรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ เรื่องของสมเด็จวัดปากน้ำ เพียงแค่ให้บรรลุสิ่งที่ตนต้องการ ลงทุนใส่ความให้ท่านเสียหาย เพื่อเป็นข้ออ้างว่าท่านไม่บริสุทธิ์ จนสังคมคล้อยตาม แต่ในที่สุดผลก็ออกมาว่า ท่านไม่มีความผิดอะไร

        ความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่เห็นมีใครกระโดดออกมารับผิดชอบแม้แต่คนเดียว



        ล่าสุดก็พยายามหาเรื่องวัดพระธรรมกาย อ้างว่า ออก ม. 44 เพื่อหาตัวเจ้าอาวาส

        เมื่อหาไม่พบแทนที่จะยกเลิก ม. ​​44 ก็หาเหตุว่า มีเรื่องของโกตี๋ที่อาจเกี่ยวโยงมาถึงวัด


       ก็ไม่ทราบว่า เสร็จจากเรื่องโกตี๋แล้วจะมีพลอตเรื่องใหม่ ๆ อะไรออกมาอีก


        อย่างไรก็ตามอยากจะให้นึกถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการจะให้เกิดความปรองดอง

        ลองนึกถึงใจของผู้ถูกกระทำบ้างว่า เขาเจอแบบนี้จะให้ปรองดองไหวหรือ

ว่าง ๆ คิดนั่งทบทวน นึกถึงอกเขาอกเราบ้างก็ดีนะครับ





อนาคาริก
03/21/17

ใช้อำนาจเกินไปหรือไม่?



ใช้อำนาจเกินไปหรือไม่?


        ก่อนที่จะพิจารณาเรื่องราวต่อไป ขอให้ทุกท่านได้ดูคลิปสั้น ๆ ก่อนนะครับ



        เป็นไงบ้างครับ คิดว่าหลายท่านคงจะมีความคิดว่า ก็เขาเป็นเจ้าหน้าที่ เขาก็มีสิทธิทำได้

        แต่บางท่านก็อาจจะสงสัยอยู่ว่า เอ! เขาทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ


        เพื่อคลายความสงสัย เดี๋ยวจะหาว่าผู้เขียนโมเม ก็ขอบอกเลยครับว่า อดีตรองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือ พล.ต.อ. ประวุฒิ ถาวรศิริ ได้กล่าวว่า

        “...การถ่ายรูป ถ่ายคลิปวีดีโอ ในขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจปฎิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นการค้น หรือจับกุม สามารถทำได้ ไม่เป็นการละเมิดสิทธิ และไม่ผิดกฎหมาย แต่อย่างใด...”

        ดังนั้นการที่นายตำรวจใหญ่ท่านนี้จะยึดกล้องหรือโทรศัพท์ของชาวบ้านจึงเป็นการละเมิดสิทธิของเขา เนื่องจากจะอ้างว่าชาวบ้านละเมิดสิทธิส่วนบุคคลไม่ได้เพราะอยู่ในเวลาของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่เวลาส่วนตัว

        อีกประการหนึ่งก็เป็นสิทธิของประชาชนเพื่อป้องกันการมี “ของแถม” จากเจ้าหน้าที่ จะได้เอาไว้ต่อสู้หรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้

        ดังนั้นจึงไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องเกรงการตรวจสอบ หากตำรวจบริสุทธิ์ใจ มีเจตนาสุจริต และปฎิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม

        แต่ก็ต้องยอมรับว่านายตำรวจใหญ่ในคลิปท่านฉลาด เพราะเรียกให้ทหารเข้ามายึด หากมีการร้องเรียนหรือฟ้องร้องท่านก็รอดตัว เนื่องจากอ้างได้ว่า ทหารเป็นผู้ทำ


ยอมรับว่า ท่านไม่ธรรมดาจริง ๆ






อนาคาริก
03/21/17

เช็คเรตติ้งกันหน่อยดีไหม?



เช็คเรตติ้งกันหน่อยดีไหม?


        เป็นธรรมเนียมว่า เมื่อละครเรื่องไหนที่ออนแอร์ ก็จะมีการคอยตามเช็คเรตติ้งว่า เป็นที่นิยมมากน้อยเพียงไหน ถามว่าทำไมต้องเช็ค ง่าย ๆ ก็เพื่อดูว่าจะขยายตอนหรือจะตัดตอนดี

        หากเรตติ้งพุ่งกระฉูด แน่นอนก็ต้องขยายต่อไปอีก แต่ถ้าตรงกันข้ามก็ต้องให้รีบจบ จะได้ไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์


        ละครที่มักจะเป็นที่นิยมล้วนแล้วแต่มีองค์ประกอบที่สำคัญอย่างน้อยคือ

1.ผู้เขียนบทกับบท

        บทละครนั้นต้องสมจริง สามารถโน้มน้าวผู้ชมให้คล้อยตามได้

2.ผู้กำกับ

        จะต้องคอยกำกับผู้แสดงให้แสดงให้สมจริง รวมทั้งดูแลรายละเอียดในทีมงานทุกฝ่าย

3.ผู้ชม

        เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ตัดสินความนิยมในละครนั้น ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า ผู้ชมมีความสนใจในเรื่องราวแบบไหน

ภาพประกอบเรื่อง
        เมื่อทราบคร่าว ๆ ถึงแนวทางในการสำรวจความนิยมกันแล้ว ผู้เขียนขอนำละครเรื่องหนึ่งมาวิเคราะห์ดู ขอย้ำว่าละครนะ ละคร ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

ละครเรื่อง เรียกข้าว่า...โกตี๋ ณ ปทุม

        เรื่องย่อ ประมาณต้นปี 2557 มีเหตุการณ์สำคัญคือ การเล่นกีฬาสีเกิดขึ้นแถวหลักสี่ เล่นไม่เล่นธรรมดา เล่นลากปืนออกมายิงกันด้วย จนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นโรงขึ้นศาล

ภาพประกอบเรื่อง


        จากนั้นชื่อของโกตี๋ก็เริ่มเป็นที่รู้จักว่าเป็นแกนนำฝ่ายกีฬาสีเสื้อแดง จนนำไปสู่การถูกกล่าวหาหลายคดีความ จนในที่สุดต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ



        เวลาผ่านไป 3 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาค้นที่บ้านของโกตี๋ พบอาวุธเพียบ ราวกับคลังแสง แถมเขียนบทให้โยงเข้าหาวัดใหญ่ รวมทั้งบอกว่าอาวุธนั้นจะใช้สำหรับสังหารผู้นำประเทศซะด้วย

        ก็คงต้องดูกันต่ออีกนิดว่า ละครเรื่องนี้จะจบเมื่อไร เอาเป็นว่า เท่าที่ออนแอร์มา เรามาลองดูกันว่าเรตติ้งในสายตาผู้เขียนจะเป็นไง

1.เรื่องบท


        ผู้เขียนมองว่า บทค่อนข้างจะหลวม ๆ ยังไงไม่รู้ ตั้งแต่นายโกตี๋ หนีไปแล้ว 3 ปี ทำไมเพิ่งมาเจออาวุธ ทั้งที่โดยหลักเมื่อมีการหลบหนี ต้องมีการเข้าค้นบ้านรวมทั้งแหล่งเครือข่ายตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แล้วการมาค้นคราวนี้ ได้ทั้งจากบ้านโกตี๋ ทั้งจากเครือข่าย

        สมมุติว่า คุณเป็นเครือข่ายโกตี๋ หากลูกพี่คุณหนีไปต่างประเทศ คุณจะยังคงเก็บพวกอาวุธหรืออุปกรณ์ที่จะโยงมาถึงตัวคุณไว้หรือไม่ครับ?

2.ผู้กำกับ


         น่าจะได้ใส่ใจในรายละเอียดสักนิด เพราะมีหลายเสียงติงมาว่า การใช้อาวุธ ก็เป็นบีบีกันมันไม่เนียน หรือผ้าแดงที่มาปูก็ใหม่เกินไป ยังมีรอยพับใหม่ ๆ อยู่เลย หากของเก่าเก็บกว่า 3 ปี มันน่าจะมีลักษณะของเก่าบ้าง ไหนผู้แสดงจะหยิบของกลางด้วยมือเปล่าอีก ไม่กลัวว่าจะมีรอยนิ้วมือไปติดในของกลางบ้างหรือ เป็นต้น

3.ผู้ชม

         แม้ว่าผู้ชมจะยังชอบละครประเภทชิงรักหักสวาทกันอยู่ก็ตาม แต่พอเป็นละครแนวสืบสวนสอบสวน เขาก็ต้องการความสมจริงบ้าง หากไม่เนียนก็ท่าจะไปไม่รอด


          โดยสรุป ละครเรื่องนี้น่าจะเรตติ้งไม่ดี และคงจะลาช่องไปในไม่ช้า ก็ฝากผู้กำกับ(ละคร)ไว้ด้วยนะครับว่า เรื่องต่อไป ช่วยทำให้เนียนกว่านี้หน่อยนะครับ





อนาคาริก
03/20/17

Thursday, March 16, 2017

พระไทย...เหยื่อของระบบกล่าวหา



พระไทย...เหยื่อของระบบกล่าวหา


        ในอดีตพระภิกษุจะได้รับความเคารพและให้เกียรติมากในสังคมหรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือ ผู้นำสังคมในระดับจุลภาคนั่นเอง

        แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป จากสังคมเกษตรกรรมกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัดกับชุมชน ความเคารพที่เคยมีจึงค่อย ๆ เลือนหายไปตามสภาพแวดล้อม



        ในปัจจุบันเราจึงมักจะเห็นการนำกฎหมายต่าง ๆ มาใช้กับพระโดยไม่ได้คำนึงถึง หลักรัฐศาสตร์หรือจริยศาสตร์ มุ่งเน้นไปที่หลักนิติศาสตร์ จึงทำให้ลืมนึกไปว่า เป็นเรื่องของความละเอียดอ่อน ที่จะมีผลไปถึงสังคมโดยรวมได้


        วันนี้เกิดข่าวที่กระทบจิตใจของลูกศิษย์วัดพระธรรมกายเป็นอย่างยิ่ง คือ มีการกล่าวหาว่า หลวงพ่อทัตตชีโวนำเงินบริจาคไปเล่นหุ้น โดยเจ้าหน้าที่ให้ข่าวไปเพียงเพราะ “เชื่อว่า” มีการกระทำความผิด

        หากมองด้วยใจที่เป็นธรรม จะพิจารณาเห็นว่า หลวงพ่อท่านอายุถึง 77 ปีแล้ว ท่านจะเล่นหุ้นเพื่ออะไร ซึ่งเรื่องนี้ลูกศิษย์ลูกหา ทราบกันดีว่า หลวงพ่อท่านไม่เคยสะสม ท่านมีชีวิตที่เรียบง่าย แล้วจะมาขวนขวายหาทรัพย์สินเงินทองเพื่ออะไร เป็าหมายที่ท่านบวชมามีเพียงประการเดียว คือ การเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา


            ยิ่งมองในแง่กฎหมาย ยิ่งจะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เนื่องจาก

       - วัดพระธรรมกายมีระเบียบปฏิบัติอย่างชัดเจนว่า ห้ามพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เล่นหุ้น หรือทำธุรกิจต่าง ๆ

       - ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ยืนยันว่า พระเล่นหุ้นไม่ได้ และมีการตรวจสอบอย่างชัดเจนในเรื่องที่มาของเงินที่จะมาเล่นหุ้น

        
       วันนี้เริ่มต้นตีข่าวไปก่อน หลายวันเข้าเริ่มฝังความเชื่อให้ผู้เสพสื่อ จากเชื่อก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ แล้วก็จะหาเหตุดึงเข้าสู่กระบวนการอยุติธรรม จนนำไปสู่การหาเรื่องสึกพระ 

        หรือหากเวลาผ่านไป ในที่สุดบอกว่าท่านบริสุทธิ์ แล้วใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

        จากข้อมูลดังกล่าว จึงมีคำถามในหมู่ศิษย์วัดว่า หลวงพ่อทัตตชีโวถูกเบียดเบียน กลั่นแกล้ง หาคดีให้อีกแล้วหรือนี่ แล้วอีกกี่รูปที่จะถูกกระทำในลักษณะนี้

        ผู้ที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น ผู้ที่ออกมาให้ข่าวเรื่องนี้นั่นแหละครับ





อนาคาริก
03/17/17

หน้าที่ของพระสงฆ์



หน้าที่ของพระสงฆ์


        สำหรับชาวพุทธแล้ว พระรัตนตรัย คือ ที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด กล่าวคือ เราให้ความเคารพเนื่องจาก

        พระพุทธเจ้า คือ ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม

        พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

        พระสงฆ์ คือ ผู้ปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วสอนผู้อื่นให้ประพฤติปฏิบัติตาม



        หากพิเคราะห์ตามข้อความดังกล่าว จะเห็นได้ว่า สำหรับพระสงฆ์นั้น มีหน้าที่สำคัญอยู่ 2ประการ คือ

        1. ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

        2. สั่งสอนให้ผู้อื่นประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


        ที่ผู้เขียนยกเรื่องนี้ขึ้นมาเนื่องจากเกิดความกังขาว่า กรณีที่มีข่าวว่าพระรูปหนึ่ง ไปชี้นำให้ภาครัฐเข้าตรวจสอบวัดโน้นวัดนี้ เป็นกิจของสงฆ์หรือไม่





        และหากย้อนกลับไปดูสิ่งที่ท่านกระทำ ยิ่งมีคำถามมากขึ้นว่า มันใช่หน้าที่หรือไม่ เช่น

        - การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยไปขัดขวางการเลือกตั้ง

        - การเป็นแกนนำปิดล้อมสถานที่ราชการ

        - การไปขู่เข็ญเอาทรัพย์ของผู้อื่น

        - การไปซื้อที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ

        - การมีส่วนในการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่

ฯลฯ


        สิ่งที่ค้างคาใจมาก คือ กับพระชราที่อาพาธ ถูกหมายจับเพราะไม่สามารถไปรับทราบข้อกล่าวหาได้ ทางภาครัฐกลับทุ่มกำลัง ทุ่มงบประมาณอย่างมากมายเพื่อเอาตัวไปให้ได้

        ในขณะที่อีกท่านหนึ่งที่มีการกระทำดังกล่าว กลับอยู่อย่างสุขสบาย และมาชี้นำให้ภาครัฐทำโน่นทำนี่ 

         จึงทำให้ผู้เขียนอดจะสงสัยไม่ได้ว่า


หน้าที่ที่แท้จริงของพระสงฆ์จะถูกบิดเบือนแล้วหรืออย่างไร?






อนาคาริก
03/16/17

Wednesday, March 15, 2017

กล่าวหาจนเคยตัว



กล่าวหาจนเคยตัว


        ในระยะนี้ข่าวของวัดพระธรรมกายเริ่มซาลงไป เนื่องจากได้มีการประชุมร่วมหลายฝ่ายเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด 

        ในขณะที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี ก็มีผู้กวนน้ำให้ขุ่นขึ้นมาอีก จะเป็นใคร หากไม่ใช่เจ้าเก่า หน่วยงานเดิม เจ้าของวาทะ “มันเลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว”

         คราวนี้แม้จะมาเรื่องใหม่ แต่ก็ใช้แนวเดิม คือ “กล่าวหาไปก่อน ให้เขามาแก้ภายหลัง” 

ก็ต้องบอกว่านี่เป็นสูตรสำเร็จที่ผู้ถือกฎหมายชอบใช้กัน


        ครั้งนี้ก็เลยหาเรื่องหลวงพ่อทัตตชีโว โดยกล่าวหาว่า ท่านนำเงินของวัดไปเล่นหุ้น สำหรับสาธุชนวัดพระธรรมกายแล้ว ไม่มีใครเชื่อ เพราะอย่าว่าแต่เล่นหุ้นซึ่งมีการประกาศอย่างชัดเจน ห้ามบุคลากรในวัดทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เข้าไปมีส่วนร่วม แม้แต่การทำธุรกิจต่าง ๆ ก็ห้ามกระทำในวัด


        หน่วยงาน(ผู้หาเรื่อง)ดังกล่าว ได้กล่าวหาว่า “เชื่อว่า เป็นกลุ่มทุนที่มีผลประโยชน์ร่วมกับวัดพระธรรมกาย นำเงินบริจาคที่เป็นเช็คโอนเข้าวัด แล้วถูกถือโดยนอมินี จากนั้นก็นำไปเล่นหุ้นโดยคนบางกลุ่ม ที่มีความเชื่อมโยงกับวัดพระธรรมกาย”

        ทำไมจึงรีบออกข่าว โดยไม่หาข้อเท็จจริงให้แจ่มชัดก่อน การใช้คำว่า “เชื่อว่า” เสมือนยังไม่แน่ชัดว่า จะใช่หรือไม่ แต่การให้ข่าวใหญ่โตอย่างนั้น ทำให้สังคมเข้าใจผิดไปแล้ว หากหลวงพ่อท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง อยากทราบว่า หน่วยงานนั้นจะออกมาแก้ไขความเข้าใจผิดของสังคมหรือไม่ อย่างไร


        ผู้เขียนใคร่ขอฝากผู้รับผิดชอบสักนิดว่า การมุ่งสร้างข่าวใด ๆ ก็ตาม อย่าลืมผลที่จะตามมาด้วย อายุความตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 เรื่องเจ้าหน้าที่ประพฤติมิชอบ และ ม.200 เรื่องเจ้าหน้าที่กลั่นแกล้งให้ผู้อื่นรับโทษ ไม่ใช่แค่ปี สองปี

        กล่าวหาเขาซะจนเคยตัว อย่าลืมภัยจะย้อนกลับมาหาตัวเองบ้างนะครับ







อนาคาริก

03/16/17