นักเรียนของครูแซม
ครูแซม: นักเรียนก่อนที่จะเข้าบทเรียน ครูมีนิทานเล่าให้ฟังนะคะ ตั้งใจฟังนะ แล้วครูจะถามว่า ได้ข้อคิดอะไร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกน้อยฝึกบินตัวหนึ่ง มันได้ไปปรึกษาไก่ เรื่องบินขึ้นต้นไม้ ไก่ได้บอกเจ้านกตัวนั้นว่า
“ ไอ้บ้า แกไปบินให้พ้นหลังคาเสียก่อนไป๊ ค่อยคิดจะบินขึ้นต้นไม้ใหญ่ ”
นกน้อยรีบออกไปจากที่นั่นก่อนจะโดนดุไปมากกว่านี้ ขณะที่กำลังเดิน ๆ เตาะแตะไปนั้น นกน้อยเหลือบไปเห็นพญาอินทรีย์ จึงได้ตะโกนถามไปว่า
“ ข้าขอปรึกษาท่านหน่อย ทำไงจะบินขึ้นต้นไม้ได้หล่ะ ”
พญาอินทรีย์มองลงมาด้วยความฉงน แล้วกล่าวว่า
“ เจ้าคิดจะบินขึ้นต้นไม้ใหญ่ก็ดีนะ แต่ทำไมเจ้าคิดแค่ขึ้นต้นไม้หล่ะ ทำไมไม่คิดว่าจะบินข้ามภูเขา ”
เอ้า จากนิทานเรื่องนี้ ได้ข้อคิดอะไรบ้าง วิลเลียมว่าไงจ๊ะ
วิลเลียม: ได้ข้อคิดเรื่องการคบคนครับ หากเราคบคนใจแคบ เราก็จะใจแคบตาม แต่หากคบคนที่ใจใหญ่ คิดการอะไรใหญ่ ๆ เราก็จะได้รับการถ่ายทอดแนวคิดที่ดี ๆ ครับ
ครูแซม: จากข้อคิดของวิลเลียม แคธี่พอจะยกตัวอย่างได้ไหมคะ
แคธี่: ได้คร้า ยกตัวอย่างเช่น หากเราคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรี เราก็ต้องศึกษาหลักทั้งรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ การปกครอง จิตวิทยาอะไรสารพัดแหละค่ะ เพื่อจะได้เข้าใจคน จะได้ไม่ใจแคบ ใครแตะนิดแตะหน่อยก็โมโห จะเอาโพรเดียมทุ่ม ใครมาตรวจสอบคนใกล้ตัว ก็จะตรวจสอบเขาบ้าง อย่างนี้ไม่ดีนะคะ ครูขา
ครูแซม: แหม ตัวอย่างเธอนี่มันคุ้น ๆ นะ ต่อไปเจมส์ ได้ข้อคิดอะไรจากนิทานคะ
เจมส์: ผมได้ข้อคิดเรื่องวิสัยทัศน์ในการปกครองครับ คือ หากเราคิดจะเป็นประเทศเล็ก ๆ ไม่เอาอะไรมาก ก็ไม่ต้องคิดมากครับ อยู่ไปวัน ๆ แต่หากคิดจะก้าวออกไปสู่เวทีโลก ไปสู่ระดับแนวหน้าต้องคิดเยอะครับ คิดให้กว้าง ๆ
ครูแซม: อืม น่าสนใจ ว่าแต่ลินดา จากข้อคิดของเจมส์ ลองยกตัวอย่างสิจ๊ะ
ลินดา: I think we have to อุ้ย ขออภัยคะ เพิ่งกลับจากเมกาคร้า ยังไม่คุ้นภาษาอื่น คริ ๆ เอ้อ หนูว่า การที่เราจะคิดการใหญ่ มันต้องรักษาดุลย์ในการคบเพื่อนบ้าน อย่างบางประเทศ เขาก็ปิดประเทศ ไม่คบค้ากับใคร แต่หากเราจะคิดไปสู่แนวหน้า ต้องคบกับทั้งตะวันตกและตะวันออก ไม่งั้นจะเหมือนบางประเทศ ที่ทำท่าจะปฏิเสธตะวันตก จะหันหน้ามาอิงยักษ์ใหญ่เอเซียคือ จีน เลยโดนเขาเอาเปรียบ แถมทางตะวันตกก็มีมาตรการอะไรออกมาเล่นงานอีก เสียค่าโง่ เลยคร้า
ครูแซม: จิ๊ดเลยนะตัวอย่างของเธอนี่ลินดา เอ้า ปีเตอร์ เห็นเธอชอบอ่านปรัชญาพระพุทธศาสนา เธอลองให้ข้อคิดในเชิงพระพุทธศาสนาสิจ๊ะ
ปีเตอร์: อันว่าไก่นั้น ก็เปรียบเช่นคนทั่วไป ที่คิดจะทำการอันใดก็ทำแค่พอตัว แต่พญาอินทรีย์นั้น เปรียบประดุจดังใจของพระโพธิสัตว์ที่มุ่งคิดการใหญ่ กล่าวคือ คนทั่วไปจะคิดเพียงแค่เอาตัวเองให้รอด ทำทาน รักษาศีล หรือภาวนาก็แค่ทำไปแบบเผื่อว่า นรก สวรรค์ มีจริง ก็จะได้ไม่ลำบาก แต่สำหรับใจของพระโพธิสัตว์นั้น จะไม่คิดเพียงแค่เอาตัวรอด แต่จะคิดถึงการนำพาผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ด้วยดังนี้แล
ครูแซม: ขอเธอจงขยายความให้พิสดารยิ่งไปกว่านี้
ปีเตอร์: ก็พระโพธิสัตว์เวลาพระองค์จะทำความดี ไม่ว่าทาน ศีล ภาวนา ท่านทำแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ถึงมีคำอุปมาว่า ดวงตาที่ควักทำทานนั้นมากยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า เลือดที่ทำทานนั้น มากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร เนื้อที่ทำทานมากยิ่งกว่าแผ่นดิน ศีรษะที่ได้ทำทานนั้นก็มากยิ่งกว่าผลมะพร้าวในชมพูทวีป
แต่ใจของคนทั่วไป อย่าว่าแต่จะทำความดีในระดับสูงเลย แค่เบื้องต้นที่ง่ายที่สุด ยังไม่กล้าคิดที่จะทำแบบทุ่มชีวิต ทำทานก็แค่นิดหน่อย แล้วก็ชอบไปวิพากษ์วิจารณ์คนที่เขาทำบุญแบบพระโพธิสัตว์ เข้าทำนองมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำครับผม
ครูแซม: ขอบใจมากนักเรียนที่ให้ข้อคิดกันเก่ง ๆ ทั้งนั้น นี่ถ้าคนแถวกะลาแลนด์ได้อ่านบ้างก็ดีนะคะ เหอ ๆ
ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
10/02/16