วิสัยทัศน์ของผู้นำ...กับทิศทางการทำงาน
สิ่งสำคัญประการหนึ่งในการเป็นผู้นำคือ วิสัยทัศน์ในการทำงาน concept หรือความคิดรวบยอดของใครก็จะเป็นตัวบอกทิศทางในการทำงานของคน ๆ นั้น
เรามาลองดูตัวอย่างสักคนสองคนกันดู
ประธานาธิบดีของจีน ท่านสีจิ้งผิง ได้เคยปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของเกาหลีว่า
" คบกันด้วยผลประโยชน์ ผลประโยชน์ไม่มีก็เลิกคบ
คบกันด้วยบารมี บารมีหมด ก็ล้มเลิก
คบกันด้วยอำนาจ อำนาจหมด ก็ทิ้ง
คบกันด้วยความพิศวาส ความพิศวาสหมดไป ก็เจ็บปวด
มีเพียงคบกันด้วยใจ ถึงจะเป็นอมตะ
ทนุถนอมคนมีบุญวาสนากับเรา
ทนุถนอมเวลา คิดแต่สิ่งดี
รู้บุญคุณคน ให้ความจริงใจ คบกันด้วยใจ
มิตรภาพกัลปาวสาน "
จากคำกล่าวนี้ทำให้พอจะมองเห็นทิศทางว่า จะต้องเอาเรื่องของความจริงใจเป็นหลักมาใช้ในการทำงาน
ส่วนอดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ ผู้นำของนาซี ได้ให้ทัศนะในการปกครองไว้ว่า
" วิธีการที่จะควบคุมประชาชนได้อย่างดีที่สุดคือ ค่อย ๆ กีดกันเสรีภาพออกไปทีละน้อย ทำลายมันให้หมดไปเรื่อย ๆ โดยไม่ให้ประชาชนรู้ตัว
วิธีการนี้ จะทำให้เสรีภาพลิดรอนออกไป จนถึงจุดที่พวกเขาไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้อีก "
ทิศทางในการทำงานของฮิตเล่อร์มีความชัดเจนมาก ว่าสิ่งที่ง่ายต่อการปกครองคือ การลิดรอนเสรีภาพ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า แม้เรื่องของฮิตเล่อร์จะผ่านไปนานแล้ว แต่วิธีการของเขาก็ยังถูกนำมาใช้อยู่เสมอ โดยเฉพาะในแถบประเทศที่กำลังพัฒนา หรือประเทศที่มีการปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารซึ่งประชาชนจะไม่มีปากไม่มีเสียง
แม้บางประเทศจะอ้างว่า ไม่ได้เป็นเผด็จการโดยใช้ชื่อว่า เป็นประชาธิปไตย แต่เอาเข้าจริง ก็จะคอยจำกัดสิทธิของประชาชน เช่น ห้ามมีสถานีวิทยุ โทรทัศน์ของเอกชน จะมีเฉพาะของรัฐบาลที่คอยเป่าหูอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น
หรือบางประเทศ เพื่อให้ดูดี ก็อนุญาตให้มีช่องทีวีของเอกชนได้ แต่หากรู้สึกว่าเป็นภัยต่อตำแหน่งหน้าที่ของตนก็จะถูกปิด หนักกว่านั้น แม้เป็นช่องของศาสนาที่ชักชวนคนมาทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา แต่ตนเองได้รับคำสั่งให้มากำจัด ก็จะอ้างเหตุเพื่อปิดสถานีโดยไม่ต้องพิจารณาเหตุผลอะไรกันมากมาย
เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง เราก็ได้ยินได้ฟัง วิสัยทัศน์ของท่านผบ.ตร. (พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา) ซึ่งคงต้องมาตีความกันพอสมควร ท่านได้กล่าวไว้ว่า
หากฟัง ๆ ดู ก็เป็นการเล่นคำให้คล้องจองกัน แต่หากพิจารณาให้ชัด ๆ จะเห็นถึงมุมที่แคบในการมองถึง ๒ เรื่อง
เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง เราก็ได้ยินได้ฟัง วิสัยทัศน์ของท่านผบ.ตร. (พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา) ซึ่งคงต้องมาตีความกันพอสมควร ท่านได้กล่าวไว้ว่า
" เป็นพระต้องสวด เป็นตำรวจต้องจับ "
หากฟัง ๆ ดู ก็เป็นการเล่นคำให้คล้องจองกัน แต่หากพิจารณาให้ชัด ๆ จะเห็นถึงมุมที่แคบในการมองถึง ๒ เรื่อง
๑. หน้าที่ของพระ มีสองส่วนใหญ่ ๆ คือ การฝึกตน และฝึกผู้อื่น ดังนั้น หากมองตรงนี้ชัด ก็จะเห็นว่าการทำงานของพระ หนักยิ่งกว่าชาวโลกอย่างมาก ไม่มีวันพัก ไม่มีวันหยุด ไม่มีเงินเดือน อยู่ได้ด้วยศรัทธาของญาติโยม หากเขาไม่ศรัทธาก็อยู่ไม่ได้
หากเข้าใจประเด็นนี้ก็จะมองทะลุไปว่า การที่มีญาติโยมมาวัดมาก ๆ แสดงว่า พระทำงานจึงทำให้เกิดแรงศรัทธา มองให้เข้าใจ อคติทั้งหลายที่บังตา บังใจ จะได้มลายหายไปได้
๒. หน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่เพียงแค่การจับเท่านั้น คำว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ คือ การเป็นผู้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่การไล่จับตามอำเภอใจ
เพราะการที่ไม่เข้าใจหน้าที่ของตัวเองอย่างนี้ จึงทำให้มีการตั้งด่านพิเศษ ที่สำคัญคือ มาตั้งด่านตรวจคนมาวัด แถมถ่ายภาพส่งให้หนังสือพิมพ์ซะด้วย ไม่รู้ว่ามีการระบุหน้าที่ตรงไหน
ที่น่าอนาถใจ ก็คือ การมองพระว่าเป็นศัตรู ขู่เข็ญจะบุกเข้าจับอยู่เรื่อย ทั้งที่พระมีแต่หนังสือสวดมนต์ ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ใด ๆ
หากไม่ดูเป็นการรบกวน ก็จะชวนมาเปลี่ยนทัศนคติกันสักนิด มองด้วยจิตเมตตาแล้วปรับเข้าหากัน มาสวดมนต์ด้วยกัน
หรือว่าธงที่ถูกตั้งไว้ มันกระทุ้งเลยยากจะปรับ ก็ไม่รู้สินะ
ขอขอบคุณภาพจาก google.com
อนาคาริก
12/08/16
viro_3eyes: เป็นพระเพราะบวช เป็นตำรวจเพราะหน้าที่ ตำรวจมาบวชพระก็ยิ่งดี ตะกวดอัปรีย์ไล่กัดจีวร pic.twitter.com/6j6Wk7pmOf
ReplyDeleteแน่แล้วค่ะ มันต้องมีธง ถึงมาไล่ล่าพระซะขนาดนี้
ReplyDeleteเปิดหน้าเล่นกันไปเลย. ให้โลกได้จารึกไว้_ทำอะไรถ้าตรงไปตรงมา_เรื่องก็จบ. นี่เป็นอีแอบ เล่นสร้างเรื่องหลอกจับพระสึก. นรกจริงๆ. เก่งจริง ๆ รังแกพระ รังแกชาวพุทธเนี่ย. เห็นนิ่งๆเห็นเฉยได้ใจกันใหญ่_
ReplyDeleteเกียรติตำรวจของไทย จับพระไงกล้าหาญมั่นคง...
ReplyDeleteผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฏร กินเงินเดือนจากภาษีของราษฎร ไม่ใช่จับดะไม่รู้ถูกผิด ควรไม่ควรแบบนี้ อย่าให้เปลืองภาษีฟรีๆ
ReplyDeleteผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฏร กินเงินเดือนจากภาษีของราษฎร ไม่ใช่จับดะไม่รู้ถูกผิด ควรไม่ควรแบบนี้ อย่าให้เปลืองภาษีฟรีๆ
ReplyDelete