Thursday, September 29, 2016

ก็แค่เด็กชนบท



ก็แค่เด็กชนบท



     ณ โรงเรียนชนบทแห่งหนึ่งในกะลาแลนด์ ซึ่งประกอบไปด้วยอาคารชั้นเดียวเพียงหนึ่งหลัง สร้างด้วยงบประมาณของประชาชนแต่น้อยกว่าฝายแม่ผ่องนิดหน่อย เพราะส่วนมากจะนำวัสดุมาจากบ้านของตนแล้วช่วยกันสร้าง


     เด็กนักเรียนก็มีอยู่ไม่กี่คน บางคนยังใส่รองเท้าแตะมาโรงเรียน บางคนด้วยอารมณ์ศิลปินต้องการให้เป็นคนเท้าติดดิน จึงตัดสินใจไม่ใส่รองเท้าดีกว่า(เหตุผลแท้จริงคือ ไม่มีเงินซื้อรองเท้า พ่อบอกว่าไม่จำเป็น แต่พ่อก็เอาเงินไปกินเหล้าได้ ดีนะที่พ่อไม่คิดบินไปเล่นการพนันที่มาเก๊า)



ยามเช้า
     ครูสมศรีก้าวลงจากรถสองแถวพร้อมกับปัดฝุ่นที่ม้วนตัวตามรถที่รีบออกไป หยุดยืนมองป้ายหน้าโรงเรียนที่แม้จะดูเก่าแต่สะอาด ตัวอักษรถูกแกะอย่างตั้งใจ แล้วถอนหายใจ 

     นึกถึงเมื่อวานที่เพื่อนโทรมาเล่าให้ฟังถึงความน่าสนใจของโรงเรียนแห่งนี้ จนตนเองเกิดความรู้สึกว่าต้องมาให้ได้ แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ โรงเรียนแล้ว ก็ถามตัวเองว่า การมาครั้งนี้คิดถูกหรือไม่ 
     ดูสภาพนักเรียนแล้วก็อ่อนใจ เด็กแต่ละคนน่าสงสารมาก คงไม่มีญาติเป็นทหารเลย โอกาสที่จะถูกบรรจุเข้ารับราชการอย่างง่าย ๆ คงมีแต่ในฝัน โอกาสที่จะเปิดบริษัทในค่ายทหาร เพื่อเข้ามารับเหมาในค่ายทหารก็คงจะไม่มี นึกแล้วก็ถอนหายใจอีกเป็นครั้งที่ร้อย


ยามเย็น

     ครูสมศรีก้าวขึ้นรถสองแถวคันเมื่อเช้า เพราะทั้งหมู่บ้านมีเพียงคันเดียว สายตาที่มองป้ายโรงเรียนมีแววแห่งความอาวรณ์ บวกกับความดีใจที่ได้มาสัมผัสโรงเรียนแห่งนี้ แม้รถจะเคลื่อนห่างจากโรงเรียนจนลับสายตาแล้ว แต่ภาพที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับกระจ่างอยู่ในใจ

ย้อนกลับไปในยามเช้า

     หลังจากที่ยืนมองป้ายด้วยความสนใจในการดูแลรักษาแล้วก็อดมองรอบ ๆ ป้าย ที่มีสวนประดับอย่างสวยงามไม่ได้ ความรู้สึกทึ่งยิ่งเพิ่มขึ้น เมื่อเดินดูรอบ ๆ โรงเรียน จะหาขยะสักชิ้นยังไม่เจอ ยิ่งกว่านั้น เมื่อเข้าไปสำรวจในห้องน้ำ สะอาดสะอ้านหาคราบสกปรกไม่พบ พื้นห้องน้ำแห้งสนิท ราวกับไม่ได้ถูกใช้มาก่อนเลย นัยว่าหลวงตาที่วัดประจำหมู่บ้าน เป็นคนเอาความรู้ที่ไปอบรมเรื่องความดีสากลเข้ามาพัฒนาที่โรงเรียนจนมีสภาพดังกล่าว


     ความทึ่งนั้นไม่สิ้นสุด เมื่อก้าวเข้าไปในห้องเรียน แทนที่จะเห็นเด็ก ๆ เล่นกันเสียงดัง แต่ปล่าว เด็ก ๆ ที่นี่นั่งจับกลุ่มกันอ่านหนังสือที่มีอยู่ไม่กี่เล่ม เป็นหนังสือที่หลวงตานำมาให้ ล้วนแล้วแต่เป็นนิทานชาดกมีภาพประกอบ เด็ก ๆ จึงชอบอ่านกันมาก 
     นับเป็นความชาญฉลาดของหลวงตาที่ต้องการให้เด็กเหล่านี้ รักษาพระพุทธศาสนาสืบต่อไปแทนที่จะคิดไล่หลวงตาออกจากวัดป่าท้ายหมู่บ้านในข้อหารุกป่าสงวน 

     เมื่อเห็นครูก้าวเข้ามาในห้อง หัวหน้าชั้นรีบให้สัญญาณทำความเคารพ แล้วสายตาแห่งความกระตือรือล้นของเด็กทั้งห้องก็พุ่งตรงมาที่หน้าห้องเรียน เป็นแววตาของความกระหายใคร่รู้ หาใช่สายตาของเด็กชนบทที่ไม่มีความหวังแต่อย่างใด


     หลังจากที่แนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อย ครูสมศรีก็ส่งยิ้มจากใจพร้อมกับตั้งคำถามที่เตรียมไว้ทันที

     ครูสมศรี: เอาหล่ะ นักเรียน อย่างที่ครูได้บอกไปแล้วนะคะว่า เพื่อนของครูชื่นชมพวกเธอมาก จึงได้แนะนำให้ครูได้มาพบปะ เพื่อถามปัญหากับพวกเธอ ครูก็จะขอเริ่มเลยนะ



     เอ้า เริ่มที่โชคชายแล้วกัน ครูจะถามง่าย ๆ นะ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นเท่าไร

     เด็กชายโชคชาย ตอบทันทีโดยแทบไม่ต้องคิดว่า : หนึ่งบวกหนึ่งเป็นหนึ่งครับ

     ครูสมศรี(รู้สึกผิดหวัง) : มันจะเป็นหนึ่งไปได้ยังไงจ๊ะ มันเป็นไปไม่ได้

     เด็กชายโชคชาย : ครูครับ ผมขอถามครูนิดนึงครับ ครูเชื่อไหมครับว่า ถุงเท้าบวก บานพับ เท่ากับ ตับแตก

     ครูสมศรี: เชื่อสิจ๊ะ ก็หน่วยงานของรัฐเขาออกมายืนยันขนาดนั้น เราจะไม่เชื่อได้ไงจ๊ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคำถามของครูหล่ะคะ

     เด็กชายโชคชาย: นั่นไง เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ครูกลับเชื่อ แต่เรื่องของผมเป็นเรื่องจริง ครูกลับไม่เชื่อ ครูลองนึกดูนะครับ ผมมีทรายหนึ่งกอง ครูมีทรายหนึ่งกอง เอามารวมกัน จะเป็นกี่กองหล่ะครับ หากไม่ใช่หนึ่งกอง เพียงแต่มันโตขึ้น


     ครูสมศรี(ชักจะทึ่งนักเรียนห้องนี้ซะแล้ว): อืม จริงของเธอนะ งั้นคำถามต่อไป ครูจะถามเกี่ยวกับภาษาไทยก็แล้วกันนะ ใครจะอธิบายได้บ้างว่าคำว่า กบเลือกนาย คืออะไร และยกตัวอย่างให้เห็นด้วย

     เด็กหญิงอ้อมศรี: หนูขอตอบคร้า หมายถึงการที่เราไม่พอใจผู้นำ หาเรื่องเปลี่ยนใหม่ แล้วก็ไม่ได้ดีกว่าเดิม เช่น ผู้นำคนแรก ราคายางโลละร้อยยี่สิบ ก็ไม่พอใจ เปลี่ยนเป็นผู้นำคนที่สอง ราคาลดลงเหลือร้อยเดียว ก็ไม่พอใจเลยหาทางไล่เขา จนได้ผู้นำคนที่สาม ทำให้คนซื้อถูกใจ เพราะราคายางเหลือแค่สามกิโลร้อย เจ้าค่ะ



     ครูสมศรี: แหมเธอก็ช่างสมมุติตัวอย่างนะ มันจะมีที่ไหนในโลกเป็นแบบนั้น เอ้า ต่อไปเด็กชายเกิบศักดิ์ ลองบอกครูหน่อยสิคะว่า หากเธอเป็นนายกฯ เธอจะทำไง

     เด็กชายเกิบศักดิ์: ผมจะออกกฎหมายที่เป็นธรรม ไม่ใช่ให้ศาสนาหนึ่งแต่ไม่ให้อีกศาสนาหนึ่ง หรือหากเป็นศาสนาหนึ่งทำอะไรก็ถูกทุกอย่าง แต่อีกศาสนาทำอะไรก็ผิด ไม่ดี ครับ อย่างนี้เขาเรียกอคติครับ


     ครูสมศรี: น่าเลือกเธอเป็นนายกฯนะ แต่ไม่รู้ว่ากว่าเธอจะโต เขาจะมีการเลือกตั้งหรือปล่าวก็ไม่รู้นะ ต่อไปนะคะ เด็กหญิงหวึ่งศรี ตอบครูหน่อยนะคะว่า โตขึ้นเธออยากเป็นอะไร เหตุผลด้วยนะคะ

     เด็กหญิงหวึ่งศรี: หนูอยากเป็นทหารค่ะ สาเหตุเพราะเป็นทหารสามารถทำงานได้กว้างขวางกว่าอาชีพอื่น เช่น เรียนกฎหมายก็เป็นได้แค่อาชีพในสายงานเกี่ยวกับกฎหมาย แต่หากเป็นทหาร สามารถไปดูแลตำรวจก็ได้ ไปดูกระทรวงยุติธรรมก็ได้ เป็นนายก ฯ ก็ได้ค่ะ อ้อ ไปดูหน่วยงานรัฐวิสาหกิจก็ยังได้เลยนะคะ


     ครูสมศรี: ขอบใจมากจ้าหวึ่งศรี คำตอบของหนูทำให้ครูต้องกลับมาทบทวนใหม่ว่าจะไปเรียนทหารดีมั้ยเนี่ย เอ้า ก่อนจะพักกัน ขอถามเด็กชายวินศักดิ์ หากเธอบวชเป็นพระ เธอจะทำอย่างไร

     เด็กชายวินศักดิ์: ผมจะตั้งใจฝึกตนครับ จะแนะนำให้โยมทำทาน รักษาศีล และเจริญจิตตภาวนาครับ จะไม่ให้มีพฤติกรรมไปขัดขวางการเลือกตั้ง ไปปิดล้อมสถานที่ราชการ หรือไปตบทรัพย์ตามโรงแรมครับ ที่สำคัญผมจะไม่ห่วงเรื่องยศศักดิ์ จะเอาธรรมวินัยและรักษาพระพุทธศาสนา ปกป้องพระพุทธศาสนาครับ

ฯลฯ

     ภาพต่าง ๆ ที่ทะยอยออกมาจากความทรงจำ ทำให้ครูสมศรีอดยิ้มไม่ได้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่นักเรียนได้ฝากความประทับใจไว้ หลังจากที่ครูสมศรีได้ชมว่า

     “ ครูดีใจนะที่ได้เจอพวกเธอ แม้จะอยู่ชนบท แต่คำตอบของพวกเธอมันเกินตัวจริง ๆ น่าทึ่งมาก ”


     เสียงนักเรียนที่ตอบกลับมาดังก้องอยู่ในใจของครูสมศรีไปตราบนานเท่านาน


“ พวกเราอยู่บ้านนอก แต่ไม่โง่ครับ/ค่ะ ”






ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
09/30/16











Sunday, September 25, 2016

สำรวจกะลาแลนด์



สำรวจกะลาแลนด์


ณ กะลาแลนด์แดนสนธยา เวลาย่ำค่ำ

     ผู้คนกำลังวุ่นวายอยู่กับการเดินทาง แม้จะค่ำแล้ว แต่แสงไฟก็ยังสว่างไสว ราวกับว่าไม่มีกลางคืนกลางวัน

     เหนือท้องฟ้าที่ขมุกขมัว ยานอวกาศลอยนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก สายตาหลายคู่จ้องมองลงมา พวกเขาเฝ้าดูพฤติกรรมของมนุษย์มาหลายเพลาแล้ว



     กัปตันจอนนี่ : ข้าสงสัยพฤติกรรมของมนุษย์ยิ่งนัก แม้ข้าจะศึกษาพวกเขามาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ หากเป็นไปได้ข้าอยากรู้ว่า พวกเขาคิด พูด ทำอย่างไร

     เตย่า :ไม่เห็นจะยากเลยท่าน ก็ส่งพวกข้าไปสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาก็ได้นี่นา

     กัปตันจอนนี่ : อืม เป็นความคิดที่ดี แต่ข้าก็เป็นห่วงเนื่องจากพฤติกรรมของมนุษย์ซับซ้อนมาก ไม่เหมือนพวกเราที่คิดอย่างไร พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แต่พวกเขาคิดอย่าง พูดอย่าง แล้วก็ทำอีกอย่าง

     แอปเล่ : ‘yhogvkw’f (อุ้ย ขอภัย ใส่เครื่องแปลภาษาก่อน) งั้นเอาไงดีหล่ะท่าน

     กัปตันจอนนี่ : งั้นพวกเจ้าตามข้าไปที่ห้องสักการะเทพเจ้า



ณ ห้องสักการะเทพเจ้า

     กัปตันจอนนี่ : ขอให้พวกเจ้ากล่าวคำปฏิญาณต่อองค์มหาเทพตามข้า

     -hk-v.shly9pNxDbPkI;jk-hk0tw, oeob lypw,jfu-v’,o6KpN,kl^js,^j8ItFfpgfHf-kf)

     (ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าข้าจะไม่นำนิสัยไม่ดีของมนุษย์มาสู่หมู่คณะโดยเด็ดขาด)

เอาหล่ะ ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งทิวา ไปดูสิว่าเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก หนึ่งทิวาผ่านพ้น


     กัปตันจอนนี่ : เป็นไงกันบ้าง ทำไมพวกเจ้าทำหน้าแปลก ๆ มีทั้งทำหน้างง ๆ มีทั้งทำหน้าสลด แต่เดี๋ยวก่อน พวกเจ้าไปเข้าห้องชำระล้างอกุศลก่อน แล้วรีบไปพบข้าที่ห้องประชุม

ณ ห้องประชุม

     อาททิตี้ : โอย เข็ดแล้วท่านหัวหน้า แค่เวลาไม่นาน ข้าอึดอัดมาก ข้าไม่เข้าใจว่ามนุษย์เขาอยู่กันได้อย่างไร เขาเป็นอย่างท่านหัวหน้าพูดจริง ๆ บางคนยิ้มแย้มคุยกัน แต่ในใจกลับคิดว่าอย่าเผลอนะ เผลอเมื่อไร จะเลื่อยขาเก้าอี้ ข้าไม่เข้าใจ เขาก็ไม่มีเลื่อย จะเลื่อยขาเก้าอี้ได้ไง

     กัปตันจอนนี่ : เหอ ๆ ๆ เอ้า มายดี้ ว่าไปซิ เจ้าไปเจอะเจอเหตุการณ์หรือคำพูดอะไรแปลก ๆ บ้าง



     มายดี้ : ข้าไปเจอคำว่า “ มีคนทำให้ตายแต่ไม่ใช่ฆาตกรรม ” ข้างงมากท่านมันยังไงกัน

     กัปตันจอนนี่หัวเราะเบา ๆ: ก็แค่เล่นคำ บนดวงดาวของเราไม่มีคำพวกนี้ เขาหมายถึงไม่มีเจตนาฆ่า จึงไม่ใช่การฆาตกรรม แต่อาจจะสนิทสนมคุ้นเคยมากไปหน่อยเลยหยอกกันแรงหรือเซไปเซมา ชนท่อนเหล็กท่อนไม้หุ้มผ้าหรือรองเท้า ทำให้ซี่โครงหัก ตับแตกได้


     กัปตันจอนนี่ : เอ้าต่อไป อวนนี่ เจ้าไปเจออะไรเข้าบ้างหล่ะ

     อวนนี่ :ข้าก็งงเช่นกัน ข้าไปเจอน้ำท่วมทั่วเมืองเลย แต่ผู้ดูแลเขาทำให้ข้าสับสน เขาบอกว่า ไม่ใช่น้ำท่วม แค่น้ำรอระบาย ที่สำคัญเขาจะเอาผิดย้อนหลังกับอดีตท่านผู้นำ ซึ่งเป็นฟีเมลด้วยหล่ะ ข้าเลยแอบไปแตะที่แหล่งความคิดของคนที่ดูแลเกี่ยวกับน้ำ ข้าพบสิ่งที่น่าเศร้าใจว่า แท้จริงในช่วงนั้นหากปล่อยน้ำตามปกติก็ไม่มีปัญหา แต่มีคนสั่งไม่ให้ปล่อย จนน้ำมากเต็มที่ ค่อยให้ปล่อย เพื่อจะทำลายอดีตท่านผู้นำฟีเมลด้วย

     กัปตันจอนนี่ : ดีนะ ที่เจ้าไม่เจาะลึกว่าใครสั่ง ไม่งั้นยุ่งแน่ เอ้าต่อไป ไกลี่เจ้าเป็นไงบ้าง


     ไกลี่ :ข้าไปเจอเรื่องงง ๆ เช่นกัน ที่เกี่ยวข้องกับอดีตผู้นำฟีเมลด้วย ก็เรื่องจำนำข้าว จริง ๆ ข้าก็ไม่เข้าใจนะว่าคำว่าจำนำนี่คืออะไร แต่สงสัยว่า ทำไมจะต้องเอาผิดกับเขา ข้าเลยไปแตะที่แหล่งความคิดของผู้ดูแลเรื่องนี้ ในหัวของเขาบอกข้าว่า แท้จริงข้าวไม่ได้เสีย หากข้าวเสียจะมีข้าวขายให้ต่างแดนได้อย่างไร และก็เหตุผลเดียวกันคือ ต้องการทำลายท่านอดีตผู้นำฟีเมล

     กัปตันจอนนี่ : อืม แปลกมาก ที่ดวงดาวของเราจะให้เกียรติฟีเมลมาก แต่ที่ดินแดนนี้ กลับรังแกฟีเมล เหอะ มารดามันเถอะ(เพิ่งอ่านกำลังภายในจบ) เอ้า แล้วเจ้าหล่ะ โอนานอง



     โอนานอง: ข้าไปได้ยินชาวบ้านเขาใช้คำว่า “ ขี่ช้างจับตั๊กแตน ” คือมีกรณีใช้ยานของหน่วยอวกาศ C130 ซึ่งเห็นว่าหากขึ้นบินจะตกชั่วโมงละไม่ต่ำกว่าแสนเหรียญ เมื่อคำนวณระยะทางจากเมืองหลวงไปดินแดนทางเหนือแล้ว จะตกราวสองถึงสามแสนเหรียญ เพื่อไปเปิดที่กั้นน้ำซึ่งใช้งบประมาณเพียง 7,800 เหรียญ ข้าไม่เข้าใจอ๊ะท่าน

     กัปตันจอนนี่: อ๋อ เขาหมายถึงการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ลงทุนมากแต่ผลที่ได้มันน้อยไง มิน่า ดินแดนนี้มันถึงเจริญยาก แล้วเจ้าหล่ะ มามิอิว



     มามิอิว :ข้าไปได้ยินคำว่า “ สองมาตรฐาน ” แรก ๆ ข้าก็ไม่เข้าใจ เพราะที่ดวงดาวของเราไม่มีคำแบบนี้ เราทำอะไรก็ตรงไปตรงมา ที่ข้ากลับมาช้า เพราะต้องไปหาข้อมูล เนื่องจากต่างที่กัน เลยพบว่า ที่ดินแดนนี้ มีความเชื่อหลายอย่าง บางความเชื่อแม้มีสาวกมากกว่าแต่อ่อนแอ จะทำอะไรก็ถูกขัดขวาง จากพวกเดียวกันบ้าง จากฝ่ายตรงข้ามบ้าง แต่อีกพวก แม้มีสาวกน้อยกว่า แต่อาศัยมีช่องทางในการดำเนินการทุกอย่างเป็นขั้นตอน ตามกฎหมาย จึงทำอะไรได้สะดวก และมีแนวโน้มว่าคงจะหาทางขจัดอีกฝ่ายในไม่ช้า

     กัปตันจอนนี่ : อืม น่าเสียดาย ข้ากำลังศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์อยู่พอดี น่าอนาถนัก คนในกะลาแลนด์นี้ไม่เห็นคุณค่าของคำสอนอันวิเศษ เอ้า ขอสุดท้ายแล้วกันวันนี้ ข้าฟังแล้วสลดใจ



     ปลาปิก้า :ข้าทราบว่า ในช่วงนี้มีการประชุมผู้นำที่ดินแดนลุงแซม ผู้นำของกะลาแลนด์ ก็ไปร่วมประชุมด้วย เมื่อปีก่อนเห็นว่าได้รับคำชมว่า พูดภาษาปะกิตได้ชัดเจนมาก คือ พูดคำลงท้ายคำเดียวว่า แทงคิ้ว

     กัปตันจอนนี่ : โอ้ เห็นทีข้าต้องหาเวลาไปศึกษาภาษาปะกิตกับท่านผู้นำดินแดนนี้เสียแล้ว ข้าจะได้ฉลาดแบบท่านบ้าง


     (เหล่ามนุษย์ต่างดาวหันไปซุบซิบกันเบา ๆ โดยกัปตันจอนนี่มองไม่เห็น)

     คริ ๆ ข้าว่าท่านผู้นำคงอยากไปศึกษาวิธีจัดการกับฟีเมลมากกว่านะ ว่ามั้ย หุหุ 




ขอขอบคุณภาพจาก google.com
อนาคาริก
09/26/16

















Friday, September 23, 2016

ว่าด้วยเรื่องมนุษย์ต่างดาว



ว่าด้วยเรื่องมนุษย์ต่างดาว


บนดาวคริปตัน หลายร้อยปีมาแล้ว

จอร์ เอล: ที่รัก เราจำเป็นจะต้องส่งคาล เอล ลูกของเราให้ไปอยู่ดาวดวงอื่น เพื่อความปลอดภัยนะ

ภริยา: ที่รัก ดูให้ดีนะ ว่าจะส่งไปพิกัดไหน อย่าให้ไปตกแถวกะลาแลนด์นะ



จอร์ เอล: ที่รัก เธอเป็นห่วงเรื่องอะไรหรือ

ภริยา: ที่รัก ฉันกลัวลูกจะโง่และเสียคน

สามี: ?



กะลาแลนด์ ปี 2016


     บนท้องฟ้าในยามราตรี ผู้คนกำลังดิ้นรนทำมาหากิน แม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยงคืนแล้วก็ตาม ไม่มีใครเฉลียวใจว่า เหนือศีรษะของพวกเขาขึ้นไป ไม่ไกลมากนัก มีสายตาหลายคู่ เฝ้ามองดูอยู่ด้วยความฉงนสนเท่ห์


     ติ๊กกี้: ข้าไม่เข้าใจ มนุษย์โลกมันเอาเวลาไหนพักผ่อนกัน มีแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา ราวสุริยเทพทำงานทั้งวันทั้งคืน

     กาเย้: อืม ข้าก็สงสัยเช่นกัน ว่าแต่เราได้สุ่มจับมนุษย์มากี่คนแล้ว

     กุงกิง: ข้าสงสัยมากว่าท่านจอนนี่ให้จับพวกนี้มาทำไม

( เสียงประกาศ) 
     ตุ๊ดๆ ผู้โดยสารโปรดทราบ อุ้ย ขออภัย ผิดคิว ลูกเรือทุกท่านโปรดทราบ ให้วางมือวางเท้าจากกิจกรรมทั้งปวง แล้วมารวมตัวที่ห้องประชุมด่วน...ตุ๊ดๆๆ


ณ ห้องประชุมใหญ่

     กัปตันจอนนี่ เดินไปเดินมา มือซ้ายไพล่หลัง มือขวาลูบหัวไปมา มองไปยังมนุษย์โลกที่ถูกจับตัวขึ้นมา สีหน้าเคร่งเครียด 

     กัปตันจอนนี่: ใครเป็นคนจับพวกนี้ขึ้นมา มีหลักเกณฑ์ยังไง ดูประวัติแล้วน่ากลัวทั้งนั้น

     ยูริ: น่ากลัวอย่างไรหรือท่าน


     กัปตันจอนนี่: ไม่น่ากลัวได้ไง เจ้าอ้วน ๆ หัวเหมือนพวกเรา ผูกหูกระต่ายนั่น ตามประวัติเคยเป็นนักบวช หลังจากถอดผ้าคลุมแล้ว ก็ตามเล่นงานผู้ประทานการบวชให้ ตอนเป็นนักบวชไปอยู่อารามใด ที่นั่นก็เกิดอาเพศ ล่าสุดรับทรัพย์จากไหนก็ไม่รู้ ใส่ร้ายเจ้าอาราม จนวุ่นวายไปหมด หากเอาไป ท่านราชครูคงกริ้วข้าแน่ ๆ 



     ฟานอย: แล้วเจ้ามนุษย์คนนั้นหล่ะคะ ที่ใส่สูท หน้าย่น ๆ ดูท่าทางแปลก ๆ ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ

     กัปตันจอนนี่: เจ้านี่เหรอ มีคดีกบฏติดตัว แต่ยังลอยนวลอยู่ เพราะมีกองหลังดี แต่คงอีกไม่นาน น่าจะไม่รอด นี่ก็รับงานมาเหมือนกัน ก่อนนั้นก็เคยมีเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ โอนหุ้นให้คนข้างกาย



     จาวาน: แล้วที่แต่งตัวแปลก ๆ ดูในแฟ้มประวัติ มีฉายาว่า ไลออน นี่หล่ะคะ

     กัปตันจอนนี่: นี่ร้ายหนักเลย หากเอาไปที่ดวงดาวของเราคงวุ่นวาย ถนนต้องถูกปิด อาคารบัญชาการของเราอาจถูกล้อม ตามอาคารพักชั่วคราวบนดาวของเราอาจถูกตบทรัพย์ หากเรามีการเลือกผู้นำ หมอนี่อาจขัดขวางได้



     นูออย: แล้วคนที่ทำหน้าตาเหนื่อย ๆ นั้นหล่ะคะ

     กัปตันจอนนี่: โฮ นี่ก็น่ากลัว หากเอาเจ้านี่ขึ้นไป เห็นทีจะเกิดอันตรายกับหอควบคุมความประพฤติบนดวงดาวของเราแน่แท้ นี่แหละตัวการใหญ่ ที่บอกผูกคอตายด้วยถุงเท้ากับบานพับได้ ปั๊มหัวใจทำให้ตับแตก




     กาโมน่า: ยังดีที่ยังมีมนุษย์หญิงอีกคน แต่ไม่เข้าใจทำไมนางทำผมหลายสี

     กัปตันจอนนี่: นี่แหละที่ข้ากลัว นางไปแห่งใด แห่งนั้นวุ่นวาย จากเรื่องเดิมแค่ตับแตก นางไปเพิ่มซี่โครงหักเข้าไปอีก วุ่นกันไปหมด

ข้าห่วงว่า เธอจะไปเสนอให้ใช้ GT200 บนดวงดาวของเรา

    อริต้า: แล้วจะเอาไงดีหล่ะคะ

    กัปตันจอนนี่: ยังจะมาถาม พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่า ข้าให้ไปคัดคนที่เข้าท่า ๆ ไปอยู่ดาวของเราเพื่อจะได้เอาความรู้ เอาวิชาการที่มนุษย์โลกมี ไปพัฒนาดวงดาวของเรา แต่นี่เจ้าคัดมาแต่ละคน เห็นแล้วข้าปวดใจจิ๊ด ๆ ไป เอาไปทิ้งที่ไหนก็ได้ เร็ว






ขอขอบคุณภาพจาก google.com
อนาคาริก
09/23/16

Saturday, September 17, 2016

เด็กเอ๋ยเด็กน้อย



เด็กเอ๋ยเด็กน้อย


     ณ โรงเรียนสอนเด็กอัจฉริยะ ที่ตั้งอยู่ในพิกัดพิเศษ(ประเภทหาเท่าไรก็ไม่เจอ) 

     แม่บ้าน: คุณครูสมศรีคะ ได้เวลาไปสอนเด็กอัจฉริยะแล้วค่ะ

     ครูสมศรี: อืม ขอบใจมาก ฉันได้เตรียมการสอนไว้เรียบร้อยแล้ว

     แม่บ้าน: วันนี้จะสอนเรื่องอะไรหรือคะ

     ครูสมศรี: แหม สำหรับเด็กวัยแค่ ๑๐ ขวบ จะเอาอะไรมาก ไม่อยากไปเร่งอะไรมากนัก วันนี้เอาแค่ให้รู้จักขบคิด วิเคราะห์ปัญหาเหตุการณ์ที่สมมุติขึ้นก็พอ



     ภาพที่ครูสมศรีเห็นในห้องเรียน ทำให้เกิดรอยยิ้มที่มุมปาก เด็ก ๆ ในห้องซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน ต่างกำลังมุงดูวัสดุอะไรสักอย่างคล้าย ๆ ยานพาหนะ

     ครูสมศรี:นุชชี่ เธอทำอะไรเหรอ

     นุชชี่: หนูกำลังคิดสร้างยานอวกาศ แต่เหมือนยังขาดอะไรอยู่ เลยให้เพื่อน ๆ มาช่วยกันดูค่ะ คุณครู

     “ เอ้า วางมือกันก่อน มาทางนี้เด็ก ๆ วันนี้ครูจะให้พวกเธอวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สมมุติขึ้นนะ ย้ำ สมมุตินะคะสมมุติ ให้แต่ละคนมาจับปัญหาในกล่องทองคำนี้ ”



     ครูสมศรี: เอ้า เริ่มที่วาสาน่า หนูได้ปัญหาอะไรคะ

     วาสาน่า: หากมีคนตายในที่คุมขังที่รับผิดชอบจะทำอย่างไร

     หนูขอตอบว่า เบื้องต้น หนูจะเรียกทุกคนในหน่วยงานมาทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน จะยังไม่รีบแถลงข่าวนะคะ เดี๋ยวจะโชว์โง่ หนูจะหาสาเหตุให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

     ครูสมศรี: แล้วหนูจะตรวจอะไรบ้างหล่ะ

     วาสาน่า: หนูก็จะตรวจสภาพศพ ตรวจสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอุปกรณ์รอบข้าง เช่น บานพับ ถุงเท้า

     ครูสมศรี: ดีมาก รอบคอบดี แต่ระวังอย่าไปปั๊มหัวใจจนเขาตับแตกหล่ะ



     “ เอ้า ต่อไป ติอุ้ม หนูได้อะไรหล่ะ”

     ติอุ้ม: หากเป็นพนักงานสอบสวน เมื่อต้องออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหาต้องทำอย่างไร 
     ก็ไม่เห็นยากนี่คะ ต้องทำไปตามขั้นตอน คือ ทำเอกสารให้ถูกต้อง อย่าไปพิมพ์ผิด แล้วเวลาจะส่งก็ส่งให้ผู้ต้องหาก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้เอาไปออกข่าวก่อน เดี๋ยวเกิดเขาถามมาว่า มีการปลอมเอกสารหรือไม่จะพูดไม่ออกค่ะ



     ครูสมศรี: ต่อไปปังปอน ว่าไง

     ปังปอน: มีความเห็นว่าอย่างไรหากมีการกล่าวหาเจ้าอาวาสรับของโจรหรือยักยอกเงินของวัด

     ก๊าก ขอขำแพร่บค่ะครู เจ้าอาวาสท่านนั่งซะห่างหลายเมตร แล้วคนที่มาถวาย ก็ตั้งเป็นหมื่น ๆ คน จะไปรู้ไหมคะเนี่ยว่าใครเป็นใคร ที่ตลกฝืดนะคะ เจ้าอาวาสท่านสร้างวัดมากับมือ ตั้งแต่ขุดดินก้อนแรก เลี้ยงคนในวัดอีกเป็นหมื่นชีวิต ทำมาตั้งแต่ท่านอายุ ๒๔ จน ๗๒ แล้ว จะมาโกงเงินวัด เหอ ๆ ใครเชื่อก็ปัญญาอ่อนแล้วคร้า



     ครูสมศรี: ตอบซะยาวเลยนะเธอ อืม แต่เรื่องนี้ก็มีคนปัญญาอ่อนเชื่อเยอะเลยนะ อุ้ย ลืมไปเหตุการณ์สมมุติ เอ้า คอนนี่ เธอหล่ะ

     คอนนี่: คำว่า สองมาตรฐาน เข้าใจว่าอย่างไร

     โฮ ครูขา หนูอายุ ๑๐ ขวบแล้วนะคะ คำถามแบบนี้น้องหนูอายุ ๒ ขวบที่บ้าน ยังตอบได้เลยนะคะ ก็แค่การทำอะไรที่ไม่เอาหลักเกณฑ์กติกา หากเป็นพวกตนเอง ทำอะไรก็ไม่ผิด ปิดล้อมดีเอสไอก็ได้ ขวางการเลือกตั้งก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่พวกตัวเองแล้ว นั่งอยู่ในวัดเฉย ๆ ก็ยังหาเรื่องว่าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้ไงคะ



     ครูสมศรี: น่าคิด ๆ สุดท้ายแล้ว ลุกซอน เอ้าว่าไป

     ลุกซอน: คิดว่าอย่างไร กรณีมีการถกเถียงกันเรื่องนิพพานเป็นอัตตา อนัตตา 
     หนูก็ขอขำแพร่บนะคะ ขำพวกที่ถกกัน มันจะถกกันทำไมคะ หากเคยไป ป่านนี้ไม่มานั่งเถียงกันให้เมื่อยหรอก นิพพานเป็นเรื่องของการปฏิบัติไปให้ถึงคร้า ไม่ใช่ให้มานั่งเถียงกัน เหมือนมีก๋วยเตี๋ยวอยู่ชามนึง ก็มานั่งจ้องดูแล้วเถียงกันว่า อร่อยหรือไม่อร่อย ก็ลงมือกินเข้าไป แล้วก็จะรู้เองแหละ เหอ ๆ



     ครูสมศรี: อืม เข้าท่า นี่พวกหนูอายุแค่ ๑๐ ขวบ ยังคิดได้เนอะ ต่อไปพอโตเป็นผู้ใหญ่ ให้รักษาความฉลาดไว้ให้ดีนะจ๊ะ เด็ก ๆ



ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
09/17/16

Wednesday, September 14, 2016

ภาษาน่ารู้



ภาษาน่ารู้

     ในห้องเรียนสอนภาษาไทยที่ประเทศกะลาแลนด์แดนสนธยา

ครูสมศรี: นักเรียนวันนี้เราจะมาเรียนเรื่องสุภาษิต คำพังเพยกันนะ รู้จักกันบ้างไหมคะ

นักเรียน: เคยได้ยินบ้างครับ/ค่ะ

ครูสมศรี: ดีมาก งั้นเอางี้นะ ครูจะพูดคำพังเพยและบอกความหมายด้วย ให้พวกหนู ๆ ทั้งหลายยกตัวอย่างนะจ๊ะ โอเคนะ

นายจอห์นนี่: จัดมาเลยครับคุณครู


ครูสมศรี: งั้นเริ่มที่เธอเลยนายจอห์นนี่(แหม! ไปเยอรมันหน่อยทำเป็นชื่อจอห์นนี่ อยู่บ้านเพื่อนเรียก จ้อน เหอ ๆ นี่ครูแอบคิดในใจนะคะ)

แกว่งเท้าหาเสี้ยน หมายถึง เข้าไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่นจนเกิดเป็นเรื่องกลับมาที่ตัวเอง

จอห์นนี่: กรณีพบศพหญิงชาวจีนในสระน้ำ ที่พยานแวดล้อมก็บ่งชี้ไปที่เป็นเรื่องฆาตกรรมธรรมดา แต่หน่วยงานเกี่ยวกับคดีพิเศษก็เอามาทำ จนถูกตั้งข้อสังเกตว่าทำเกินหน้าที่ขอรับ

ครูสมศรี: ดีมาก ครูนึกว่าเธอไปเยอรมันหลายเดือนจะลืมภาษาไทยซะอีก


ครูสมศรี: ต่อไปนายสมบัติ เธอนั่งดี ๆ หน่อย อย่าให้กวนเหมือนท่าเดิน เอ้า ตอบมา

ไขสือ หมายถึง รู้แล้วทำเป็นไม่รู้

สมบัติ: โฮ ครู นึกว่าจะยากอุตส่าห์ตั้งท่า รู้ว่าการไปแจ้งข้อหาที่ไหน ๆ ก็ทำได้ กลับไม่ยอมไปแจ้งที่วัดแต่ไปที่เรือนจำได้ พอมีคำถาม ก็บอกว่ามันเลยขั้นตอนนั้นมาแล้วครับผม


ครูสมศรี: อ๊ะ ไม่ธรรมดา เอ้า ต่อไปเธอ เด็กหญิงสะมิเกิล โอ๊ย ปวดหัวกับชื่อเธอเหลือเกิน

ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า หมายถึง บังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ

ด.ญ.สะมิเกิล: การที่เจ้าหน้าที่รัฐยกพวกไปเป็นร้อย ไปบังคับให้พระออกจากป่า หาว่าไปแผ้วถางป่า ทั้งที่พระท่านไปปลูกป่า ดูแลป่าเจ้าคร้า



ครูสมศรี: ดีมาก เอ้าต่อไป เด็กหญิงไนท์สดใสทุกวัน นี่ชื่อเธอมันจะยาวไปถึงไหนเนี่ย

เขียนเสือให้วัวกลัว หมายถึง ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญหรือเกรงขาม

ด.ญ.ไนท์สดใสทุกวัน: การที่ออกหมายจับเจ้าอาวาสโดยยัดข้อหาสารพัดหรือหาเรื่องวัดสาขาว่ารุกป่า ตีให้เป็นข่าวใหญ่โต เพื่อให้ญาติโยมที่จะมาวัดหรือจะมาบริจาคหวาดกลัว โยมบางคนก็ถูกเจ้าหน้าที่ตามไปขู่ถึงบ้าน ส่วนคนที่มาวัดก็จะมีตำรวจมาคอยจดทะเบียนรถค่ะ ตำรวจบ้านนี้เมืองนี้ว่างฉิ...หายเลยค่ะ


ครูสมศรี: น้าน มีแถมนะเธอ เอ้า ต่อไปใครดีหล่ะ เด็กหญิงนุนุ ก็แล้วกัน เฮ้อ ! ชั้นหล่ะปวดหัวกะชื่อของนักเรียนห้องนี้จริง ๆ

ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิด หมายถึง ความชั่วหรือความผิดร้ายแรงที่คนรู้ทั่วกันแล้ว จะปิดอย่างไรก็ไม่มิด

ด.ญ.นุนุ: มีคนตายที่บ้านทั้งที่ใครดูแล้วเป็นการฆาตกรรม รอยที่คอก็เป็นเส้นเล็ก ๆ บานพับก็มนซะจนวางถุงก๋วยเตี๋ยวแทบหล่น แต่ก็แก้เกี้ยวว่าเขาผูกคอตายคร้า



ครูสมศรี: เธอก็ช่างหาตัวอย่างเนอะ มีจริงไหมเนี่ย ต่อไปนายโชคลาบ นี่ก็อีกคน แทนที่จะเป็นโชคลาภก็เป็นโชคลาบ เดี๋ยวก็มีก้อย มีซอยแซ่ มาหรอก เฮ้อ เอ้า

เด็กเลี้ยงแกะ หมายถึง คนชอบพูดโกหกจนไม่มีใครเชื่อถือ

โชคลาบ: การที่ใครบางคนพูดไม่อยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวบอกว่าผูกคอตายด้วยเสื้อ สักพักบอกถุงเท้า หรือบอกว่าไม่มีกล้อง เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นมีกล้องแต่เซิร์ฟเวอร์เสียค่ะ เอ้ย ครับ



ครูสมศรี: เข้าท่า เอ้าต่อไป เด็กหญิงลินุกซ์ นี่ก็อีกคน ชื่ออะไรก็ไม่รู้ มีใครจะไปเปลี่ยนเป็นแอนดรอยน์ มั่งไหมเนี่ย

ตัดหนามอย่าไว้หน่อ หมายถึง ทําลายให้ถึงต้นตอ

ด.ญ.ลินุกซ์: การที่รัฐบาลเห็นว่าใครเป็นศัตรูก็ออกกฎหมายเพื่อเล่นงานให้สิ้นซากค่ะ



ครูสมศรี: เก่งนะพวกเธอนี่ ต่อไปเด็กหญิงกุ้งก้ามกราม ได้ข่าวว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นกุ้งฝอยเหรอ เอ้า

เลือกที่รักมัก(ผลัก)ที่ชัง หมายถึง ลำเอียง ไม่มีความเป็นธรรม ไม่วางตัวเป็นกลาง

ด.ญ.กุ้งก้ามกราม: ทีกับพระไล่ออกจากป่า หาว่ารุกป่า แต่กับบางศาสนาหาที่ในป่าให้ ให้เงินสร้างด้วยคร้า ครูคะ ขอแก้ข่าวนะคะ หนูแค่จะลดน้ำหนัก ยังไม่คิดเปลี่ยนชื่อนะคะ


ครูสมศรี: จะหมดเวลาแล้ว สุดท้ายเด็กหญิงปอยตรีชฎาแล้วกัน ทำไมชื่อเธอไปพ้องกับดาราเนี่ย

วานรได้แก้ว หมายถึง ผู้ที่ไม่รู้คุณค่าของสิ่งมีค่าที่ได้มาหรือที่มีอยู่

ด.ญ.ปอยตรีชฎา: ปู่ย่าตายายคัดสรรให้แล้วว่าพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ พอตกถึงลูกหลาน ไม่เห็นคุณค่าเอาออกจากรัฐธรรมนูญเจ้าค่ะ

ครูสมศรี: ดีมากนักเรียนทุกคน เลิกเรียนก็ตัวใครตัวมันนะ บาย

     (ดีนะที่ตัวอย่างที่ยกมามันเกิดที่กะลาแลนด์ หากเป็นบ้านเราคงแย่แน่ ๆ เหอ ๆ)



ขอขอบคุณภาพจากgoogle.com
อนาคาริก
09/14/16